การเติบโตของดัชนี S&P 500 ในช่วงปี 2015–2025

แชร์เรื่องนี้

S&P 500 (Standard & Poor’s 500) เป็นดัชนีหุ้นที่นิยมใช้เป็นตัวแทนตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยประกอบด้วย 500 บริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีมูลค่าตลาดสูงสุดในสหรัฐฯ ดัชนีนี้มักถูกนำมาใช้วัดสุขภาพโดยรวมของตลาดหุ้นสหรัฐฯ และเป็นหนึ่งในบรรทัดฐานที่นักลงทุนทั่วโลกเฝ้าติดตาม

การเติบโตของดัชนี S&P 500 ในช่วงปี 2015–2025 ซึ่งเห็นได้ชัดว่าดัชนีเติบโตต่อเนื่อง โดยเพิ่มขึ้นราว 148% ภายใน 10 ปี — แม้จะมีช่วงผันผวนในปี 2022 แต่ตลาดกลับฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่งในปี 2023–2025.

ผลตอบแทนเฉลี่ย (Annualized Return)

  • ตามข้อมูลของ S&P Global — ดัชนี S&P 500 (แบบ “growth”) มีผลตอบแทนเฉลี่ยราว 17.14% ต่อปี ในช่วง 10 ปีล่าสุด
  • อย่างไรก็ตาม ค่า 17.14% นี้อาจเป็นการคำนวณเฉพาะ “price growth” (ไม่รวมเงินปันผล) หรือในรูปแบบของ “growth index” ที่วัดเฉพาะหุ้นที่มีแนวโน้มเติบโต (Growth segment) — ไม่ใช่ผลรวมของทุกหุ้นใน S&P 500
  • ถ้าวัดผลตอบแทนโดยรวม (รวมเงินปันผล) ของ S&P 500 ปกติ จะได้ตัวเลขที่ “สูงกว่า” เล็กน้อย
  • อีกแหล่งข้อมูล (SoFi) ระบุว่าในช่วง 10 ปีตั้งแต่สิ้นปี 2014 ถึงสิ้นปี 2024 ดัชนี S&P 500 มีผลตอบแทนเฉลี่ยประจำปีประมาณ 11.3% เมื่อรวมเงินปันผล
  • ส่วนข้อมูลทั่วไปมักกล่าวว่า S&P 500 มีผลตอบแทนเฉลี่ยราว 10% ต่อปี (ก่อนหักเงินเฟ้อ) ในระยะยาว

ผลตอบแทนรวม (10-Year Total Return)

  • ตาม YCharts — ผลตอบแทน 10 ปี (Price Return ไม่รวมเงินปันผล) ของ S&P 500 อยู่ที่ประมาณ +248.4% (ประมาณเพิ่ม 2.48 เท่าจากจุดเริ่มต้น) YCharts
  • ถารวมเงินปันผลเข้าไป ผลตอบแทนอาจสูงกว่านี้อีก (การลงทุนระยะยาวโดยมากรวมเงินปันผลเข้าด้วยจะให้ผลตอบแทนที่ “แท้จริง” สูงกว่า)

สิ่งที่ส่งผลต่อการเติบโตในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

การเติบโตของ S&P 500 ในรอบ 10 ปีไม่ได้เกิดขึ้นด้วยเหตุผลเดียว แต่เป็นผลรวมของหลายปัจจัย ดังนี้:

  1. การเติบโตของกำไรบริษัท (Earnings Growth)
    บริษัทในดัชนีส่วนใหญ่มีการเติบโตของรายได้/กำไร ซึ่งทำให้มูลค่าหุ้นเพิ่มขึ้น
  2. เงินปันผล (Dividends)
    บริษัทหลายแห่งจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น ทำให้ผลตอบแทน “รวม” สูงกว่าการเพิ่มขึ้นของราคา (price only)
  3. นโยบายการเงินและอัตราดอกเบี้ยต่ำ
    ในหลายปีที่ผ่านมา ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำ สนับสนุนการกู้ยืม การลงทุน และกระตุ้นเศรษฐกิจ
  4. การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของตลาด / กลุ่มอุตสาหกรรม
    บางบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยี (Tech), สื่อสาร (Communications), สินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) มีบทบาทโดดเด่นในดัชนี ซึ่งการเติบโตอุตสาหกรรมเหล่านี้ช่วย “ลาก” ดัชนีขึ้น
  5. การกลับตัวหลังวิกฤตและฟื้นตัว (Recovery from Crises)
    ช่วง 10 ปีมานี้ มีเหตุการณ์วิกฤต เช่น โรคระบาด (COVID-19) หรือช่วงที่ตลาดทรุดตัว แต่ตลาดก็มีการฟื้นตัวที่แข็งแกร่ง
  6. ความผันผวน (Volatility)
    ถึงแม้จะมีบางปีที่ตลาดลดลง (เช่น ปี 2018, 2022) แต่โดยรวมการฟื้นตัวและการเติบโตในปีอื่น ๆ ชดเชยส่วนที่ลดลง

ข้อจำกัดและข้อควรระวัง

  • ผลตอบแทนเฉลี่ย “10% ต่อปี” เป็นเพียงค่าเฉลี่ยในอดีต — ไม่ได้หมายความว่าสุดท้ายจะเป็นอย่างนั้นในอนาคต
  • เงินเฟ้อ: ถ้าวัด “ผลตอบแทนที่แท้จริง (Real return)” หลังปรับเงินเฟ้อ ผลตอบแทนอาจต่ำลงหลายเปอร์เซ็นต์
  • ช่วงเวลาที่เริ่มต้นลงทุนมีผลมาก (Timing)
  • ความเสี่ยง: ช่วงที่ตลาดปรับฐานหรือเกิดวิกฤต อาจมีการลดลงหลายสิบเปอร์เซ็นต์
  • โครงสร้างตลาดเปลี่ยนแปลง: บริษัทที่เคยเป็นหัวรถจักร อาจถูกแทนที่โดยบริษัทใหม่ในอนาคต

บทสรุป & ประเมินแนวโน้มอนาคต

  • ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ดัชนี S&P 500 มีการเติบโตที่แข็งแกร่ง โดยเฉลี่ยอยู่ในช่วง ราว 10-12% ต่อปี (รวมเงินปันผล) และอาจสูงกว่าในบางรุ่นของการคำนวณ
  • การเติบโตนี้ได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการบริษัท นโยบายการเงิน และการฟื้นตัวหลังวิกฤต
  • แต่ในอนาคต การรักษาอัตราการเติบโตระดับสูงต่อเนื่องอาจเป็นเรื่องยาก — เพราะมีปัจจัยที่อาจจำกัด เช่น อัตราดอกเบี้ย เงินเฟ้อ ความอิ่มตัวของตลาด และความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง
  • นักลงทุนที่มองระยะยาวควรพิจารณาการกระจายพอร์ต (diversification), การลงทุนเป็นประจำ (dollar-cost averaging) และรักษาวินัยในระยะยาว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *