เมื่อนักลงทุนหน้าใหม่เริ่มเข้าสู่ตลาดหุ้น ก็มักจะคุ้นเคยกับ SET (Stock Exchange of Thailand) หรือตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกันดีอยู่แล้ว แต่แท้จริงแล้วคุณรู้หรือไม่ว่า ตลาดหุ้นในประเทศไทยมี 2 แห่ง โดยตลาดอีกแห่งหนึ่งคือ mai (Market for Alternative Investment) หรือเรียกอย่างตรงตัวว่าตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ แล้ว SET กับ mai แตกต่างกันอย่างไร และทั้ง 2 แห่งนี้มีผลต่อการลงทุนหรือไม่ มาหาคำตอบกันเลย
ความต่างของ SET และ mai
SET หรือคลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เริ่มทำการซื้อขายเมื่อปี พ.ศ. 2518 เพื่อเป็นแหล่งระดมทุนของบริษัทขนาดใหญ่ ซึ่งบริษัทที่จะนำเข้ามาระดมทุนนั้น ต้องผ่านเกณฑ์ต่าง ๆ ที่ ก.ล.ต. (คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์) กำหนด เช่น ต้องมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดมากกว่า 7,500 ล้านบาท มีทุนชำระแล้วหลัง IPO 300 ล้านบาทขึ้นไป และต้องมีผลการดำเนินงานย้อนหลังมากกว่า 3 ปี เป็นต้น โดยกฎเกณฑ์ในข้อนี้อาจทำให้บริษัทขนาดเล็กไม่สามารถระดมทุนในตลาดหุ้นได้
ต่อมา ปี พ.ศ. 2542 จึงได้มีการตั้ง mai หรือตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ขึ้นเพื่อเป็นพื้นที่ในการระดมทุนของบริษัทขนาดกลางถึงขนาดเล็กที่มีศักยภาพในการเติบโต โดยกฎเกณฑ์ต่าง ๆ จะไม่สูงเท่าตลาด SET เช่น ต้องมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดมากกว่า 1,000 ล้านบาท กำหนดทุนชำระแล้วหลัง IPO เพียง 50 ล้านบาทขึ้นไป และต้องมีผลการดำเนินงานย้อนหลังมากกว่า 2 ปี เป็นต้น
ความต่างของ SET และ mai มีผลต่อนักลงทุนหรือไม่
ในมุมของนักลงทุน ความต่างของ SET และ mai ไม่มีผลต่อการลงทุนหรือการเก็งกำไรมากนัก โดยเฉพาะวิธีซื้อขายหุ้นที่สามารถดำเนินการบนแพลตฟอร์มที่ ก.ล.ต. รับรองได้เหมือนกัน จนบางครั้งนักลงทุนไม่ทันได้สังเกตุว่าหุ้นที่ตนเองซื้อเป็นหุ้นจากตลาด SET หรือ mai ด้วยซ้ำ นอกจากนี้การควบคุมกำกับดูแลอื่น ๆ ก็เป็นไปตามกฎเกณฑ์เดียวกัน อาจมีข้อแตกต่างเล็กน้อยตรงที่หุ้นจากตลาด SET มักจะเป็นหุ้นบริษัทใหญ่ที่มีมูลค่าตลาดสูง ในขณะที่ mai อาจเป็นหุ้นของบริษัทเกิดใหม่ที่มีมูลค่าไม่สูงนัก แต่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพและเติบโตได้ในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่านักลงทุนจะซื้อหุ้นจากตลาดไหน ก็จำเป็นที่จะต้องศึกษาปัจจัยแวดล้อมและข้อมูลเชิงลึกของบริษัทนั้น ๆ อย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นงบการเงิน ความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ถือหุ้น ข่าวการประชุมผู้ถือหุ้น หรือกระแสตอบรับจากสังคมต่อสินค้าหรือบริการของบริษัทนั้น ๆ ทั้งนี้เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่จะนำไปสู่การขาดทุน โดยทั้งตลาด SET และตลาด mai อาจเป็นเพียงการแบ่งกลุ่มหุ้นอย่างคร่าว ๆ ที่ไม่ได้การันตีว่าหุ้นจากตลาดใดมีความมั่นคงมากกว่า หรือหุ้นจากตลาดใดมีอนาคตที่สดใสกว่ากัน