คริปโตเคอร์เรนซีเป็นทรัพย์สินดิจิทัลที่มีความร้อนแรงเป็นอย่างมากในช่วงปี 2021 นี้ โดยจะเห็นได้ว่าราคาของคริปโตเคอร์เรนซีปรับขึ้นลงตลอดเวลาตามแรงซื้อขายของนักลงทุน จึงเกิดคำถามที่หลายคนอยากรู้ว่าปัจจัยใดบ้างที่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของราคาคริปโตเคอร์เรนซี บทความนี้จึงชวนนักลงทุนทุกท่านมาสำรวจปัจจัยแวดล้อมที่มีผลต่อราคาทรัพย์สินดิจิทัลชนิดนี้ สถานการณ์ใดบ้างที่จะทำให้อุปสงค์เพิ่มสูงขึ้น หรือสถานการณ์ใดที่จะทำให้มูลค่าของคริปโตเคอร์เรนซีต่ำลง
ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อ ราคาขึ้นลงของคริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) นั้นมีความหลากหลายและแตกต่างจากสินทรัพย์ดั้งเดิมอย่างหุ้นหรือทองคำ โดยสามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มหลัก คือ ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Factors) และ ปัจจัยทางจิตวิทยาและตลาด (Market Sentiment Factors) ดังนี้
ปัจจัยพื้นฐานที่มีผลต่อราคา คริปโตเคอร์เรนซี
1. ปัจจัยด้าน อุปสงค์ (Demand) ที่มีผลต่อราคา คริปโตเคอร์เรนซี
– ความนิยมและความต้องการใช้งาน
- หากเหรียญถูกใช้ในแพลตฟอร์มจริง เช่น เกม, DeFi, NFT หรือ Metaverse → ความต้องการสูง → ราคาพุ่ง
- ยิ่งเหรียญถูกใช้เป็นสื่อกลางการชำระเงิน หรือสะสมมูลค่ามากเท่าไร ราคายิ่งมีแนวโน้มขึ้น
– การยอมรับจากภาครัฐและเอกชน
- ประเทศหรือองค์กรใหญ่รับรองการใช้งานคริปโต เช่น เอลซัลวาดอร์ยอมรับ Bitcoin → สร้างแรงซื้อทันที
- บริษัทอย่าง Tesla หรือ PayPal ประกาศรับชำระด้วยคริปโต → กระตุ้นอุปสงค์
– ความเชื่อมั่นของนักลงทุน
- ข่าวดี เช่น การอัปเกรดระบบ, การร่วมมือกับองค์กรใหญ่ → นักลงทุนแห่ซื้อ
- นักลงทุนยินดีถือเหรียญระยะยาวหากเชื่อมั่นในอนาคตของโปรเจกต์ → ดึงอุปทานออกจากตลาด
– กระแสเก็งกำไร
- นักเก็งกำไรจำนวนมากเข้ามาซื้อเพื่อหวังทำกำไรระยะสั้น → เพิ่มแรงซื้อในตลาด
ปัจจัยด้าน อุปทาน (Supply) ที่มีผลต่อราคาคริปโต
– จำนวนเหรียญที่มีจำกัด
- เช่น Bitcoin มีจำนวนสูงสุดเพียง 21 ล้านเหรียญ → ทำให้เหรียญขาดแคลนเมื่อความต้องการเพิ่ม → ราคาสูงขึ้น
– กลไกลดอุปทาน (เช่น Halving)
- Bitcoin Halving ทุก 4 ปี → ลดรางวัลในการขุดเหรียญใหม่ → เหรียญเข้าสู่ตลาดน้อยลง → ราคามีแนวโน้มปรับขึ้น
– การเผาเหรียญ (Token Burn)
- บางโปรเจกต์เลือก “เผาเหรียญ” (Burn) เพื่อลดอุปทานหมุนเวียน เช่น BNB ของ Binance → ทำให้เหรียญมีค่ามากขึ้น
– เหรียญที่ถูกล็อกไว้ (Staking / Locking)
เหรียญที่ถูกนำไป stake หรือ lock บนแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Ethereum 2.0 หรือ DeFi → ทำให้อุปทานที่เหลือหมุนเวียนลดลง → ราคาเพิ่มขึ้น
- เหรียญที่มีจำนวนจำกัด เช่น Bitcoin (BTC) มีจำนวนแค่ 21 ล้านเหรียญ หากมีความต้องการเพิ่ม ราคาจะพุ่งขึ้น
- หากเหรียญถูกขุดหรือผลิตออกมามากขึ้นโดยไม่มีการใช้งานจริง ราคาจะลดลง
2. การใช้งานในโลกจริง (Real-world Utility)
- เหรียญที่ถูกใช้เป็น “สกุลเงิน” ใน DeFi, เกม, NFT, หรือแพลตฟอร์มต่าง ๆ มีแนวโน้มราคาจะสูงขึ้นตามการใช้งาน
- เหรียญที่ไม่มีฟังก์ชันการใช้งาน อาจถูกมองว่าไม่มีมูลค่าจริง
3. กฎระเบียบและท่าทีของรัฐบาล (Regulations)
- หากรัฐบาลออกกฎหมายสนับสนุนหรือรับรองคริปโต จะดันราคาให้สูงขึ้น
- ในทางกลับกัน ข่าวการแบนหรือควบคุมเข้มงวด (เช่น ในจีนหรืออินเดีย) จะทำให้ราคาตกลง
4. เหตุการณ์ Halving (เฉพาะ Bitcoin)
- การ Halving คือการลดรางวัลของนักขุดลงครึ่งหนึ่งทุก 4 ปี ทำให้เกิดภาวะ “เหรียญขาดตลาด”
- ส่งผลให้ราคาขึ้นในช่วงหลัง Halving อย่างมีนัยสำคัญในอดีต
5. ความเชื่อมั่นของนักลงทุน (Market Sentiment)
- ข่าวดี เช่น การเข้าซื้อของบริษัทใหญ่ (เช่น Tesla), การเปิด ETF, หรือการรับรองจากธนาคารกลาง → ดันราคา
- ข่าวร้าย เช่น การแฮ็ก, โปรเจกต์ล้ม, หรือ FUD (Fear, Uncertainty, Doubt) → กดดันราคาให้ลด
6. แรงเก็งกำไร (Speculation)
- ตลาดคริปโตมีนักลงทุนรายย่อยจำนวนมากที่เก็งกำไรในระยะสั้น ทำให้เกิดความผันผวนสูง
- บางครั้งราคาเคลื่อนไหวจากอารมณ์มากกว่าพื้นฐานจริง
7. การเคลื่อนไหวของนักลงทุนรายใหญ่ (Whales)
- หากนักลงทุนหรือกระเป๋าใหญ่ (Whale) ขายเหรียญจำนวนมากพร้อมกัน จะกดดันราคาหนัก
- ในทางกลับกัน การสะสมเงียบ ๆ โดยนักลงทุนใหญ่ ก็อาจบ่งชี้แนวโน้มขาขึ้น
ปัจจัยเพิ่มเติม (ที่ควรจับตา)
- พัฒนาการของเทคโนโลยี: เช่น การอัปเกรด Ethereum (The Merge)
- ความสัมพันธ์กับตลาดการเงินอื่น ๆ: เช่น หุ้นสหรัฐฯ, ค่าเงินดอลลาร์, อัตราดอกเบี้ย
- การเกิดเทรนด์ใหม่: เช่น Metaverse, GameFi, AI Crypto
การยอมรับให้คริปโตเคอร์เรนซีเป็นสื่อกลางในการซื้อขายแลกเปลี่ยน
คริปโตเคอร์เรนซีเคอร์เรนซีคือทรัพย์สินดิจิทัลที่ยังถือว่าเป็นน้องใหม่ เมื่อเทียบกับทรัพย์สินเก็งกำไรอื่น ๆ และด้วยความใหม่นี้เองจึงทำให้เกิดปัญหาความน่าเชื่อถือตามมา โดยที่ผ่านมารัฐบาลหลายประเทศยังมีท่าทีไม่ยอมรับการใช้คริปโตเคอร์เรนซีอย่างเป็นทางการ โดยเฉพาะประเทศที่มีกำลังทางเศรษฐกิจสูงอย่างจีน ที่ไม่อนุญาตให้มีการระดมทุน (ICO) และซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซี ทันทีที่รัฐบาลจีนประกาศนโยบายดังกล่าว จึงทำให้ราคาคริปโตเคอร์เรนซีร่วงรุนแรง แต่ในทางกลับกันเมื่อมีรัฐบาลประเทศอื่น ๆ หรือสถาบันการเงินชั้นนำของโลกประกาศยอมรับการซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซี ก็ทำให้ราคาของคริปโตเคอร์เรนซีพุ่งสูงขึ้นทันที ดังนั้น จะสังเกตได้ว่าท่าทีการยอมรับคริปโตเคอร์เรนซีจากรัฐหรือเอกชนรายใหญ่จะมีผลต่อราคาคริปโตเคอร์เรนซีอย่างมาก
การเพิ่มขึ้นของกิจกรรมที่รองรับคริปโตเคอร์เรนซี
คริปโตเคอร์เรนซีจะมีความสำคัญมากขึ้นเมื่อผู้คนรู้สึกว่าจำเป็นต้องใช้มัน ซึ่งความจำเป็นนี้จะเกิดขึ้นได้เมื่อมีกิจกรรมต่าง ๆ ที่รองรับการใช้คริปโตเคอร์เรนซีเพิ่มขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ที่ผ่านมาเริ่มมีการซื้อขาย NFT อย่างคึกคัก ซึ่งกระบวนการซื้อขายนั้นต้องใช้คริปโตเคอร์เรนซีเป็นสื่อกลาง นอกจากนี้ยังมีการเล่นเกมต่าง ๆ ที่ใช้คริปโตเคอร์เรนซีเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยน รวมถึงกิจกรรมซื้อขายที่จะเกิดขึ้นในโลกเสมือนจริงอย่าง Metaverse ในอนาคตอีกด้วย หากกิจกรรมเหล่านี้เป็นที่นิยมมากขึ้น ก็จะส่งผลให้มูลค่าตลาดคริปโตเคอร์เรนซีเพิ่มสูงขึ้นอย่างแน่นอน
ความปลอดภัยของคริปโตเคอร์เรนซี
แม้ว่าคริปโตเคอร์เรนซีเคอร์เรนซีจะทำงานบนระบบ Blockchain ที่มีความปลอดภัยสูง แต่นักลงทุนคริปโตเคอร์เรนซียังคงต้องเผชิญกับปัญหาความปลอดภัยหรือความเสี่ยงที่จะพบกับอาชญากรรมในโลกคริปโตเคอร์เรนซี โดยที่ผ่านมามีอาชญากรรมหลายรูปแบบ ทั้งการแฮกกระเป๋าคริปโตเคอร์เรนซี การหลอกระดมทุนเพื่อ ICO การสร้างกระแสเพื่อปั่นราคาแล้วเทขาย และเรื่องราวอีกมากมายที่ทำให้ความเชื่อมั่นในเรื่องความปลอดภัยของคริปโตเคอร์เรนซียังคงมีข้อกังขา ซึ่งสามารถสร้างผลกระทบต่อราคาคริปโตเคอร์เรนซีได้ไม่น้อย
เป็นเรื่องธรรมดาที่นักลงทุนทุกคนอยากซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซีในจุดที่ถูกต้อง เพื่อทำกำไรจากทรัพย์สินดิจิทัลชนิดนี้ อย่างไรก็ตาม คริปโตเคอร์เรนซีถือว่าเป็นทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงอย่างมาก การลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีจึงต้องศึกษาปัจจัยต่าง ๆ ให้ถี่ถ้วน ซึ่งปัจจัยที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ถือเป็นปัจจัยแวดล้อมพื้นฐานที่ใช้ประกอบการคาดเดาทิศทางตลาดคริปโตเคอร์เรนซี หากนักลงทุนติดตามความเคลื่อนไหวของโลกคริปโตเคอร์เรนซีอย่างสม่ำเสมอ ก็จะสามารถเพิ่มแนวโน้มในการทำกำไรจากทรัพย์สินชนิดนี้ได้ไม่ยาก
📌 สรุป
ราคาคริปโตเคอร์เรนซีไม่ได้ขึ้นอยู่แค่กับข่าวรายวันหรือชื่อเสียงเหรียญเท่านั้น แต่ยังผูกพันกับปัจจัยพื้นฐาน เทคโนโลยี ความต้องการใช้งาน และอารมณ์ของตลาดอย่างลึกซึ้ง